Title: คำแถลงของผู้นิยมอนาธิปไตยชาวฝรั่งเศสต่อหน้าศาล
Author: Émile Henry
Language: Thai

ข้าพเจ้าเริ่มเรียกตัวเองว่าผู้นิยมอนาธิปไตยเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อสักช่วงประมาณกลางปี ค.ศ. 1891 ที่ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าได้เข้าสู่แวดวงของขบวนการปฏิวัติ ก่อนหน้านี้ชีวิตของข้าพเจ้าได้รายล้อมไปด้วยความเชื่อของศีลธรรมอันดีงาม ข้าพเจ้านั้นคุ้นชินกับการเคารพในหลักการและหวงแหนสถาบันชาติ ครอบครัว อำนาจและทรัพย์สิน

แต่ในบรรดาอาจารย์ผู้พร่ำสอนความรู้แก่คนรุ่นใหม่มักจะลืมสิ่งหนึ่งไป ว่าชีวิตคนเรานั้นประกอบไปด้วยความไม่รอบคอบ การลุกขึ้นสู้ ความพ่ายแพ้ ความอยุติธรรมและความชั่วช้า สายตาอันมืดบอดของผู้ที่เพิกเฉย (ignorant) ได้ถูกกำจัดออกไปและลืมตาตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง นี่ก็คือกรณีของข้าพเจ้าเช่นเดียวกับทุกคน เคยมีคนบอกข้าพเจ้าเอาไว้ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ง่ายดาย สังคมนั้นเปิดกว้างแก่ผู้มีวิสัยทัศน์และผู้เห็นต่างเสมอ ทว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของข้าพเจ้าแล้วนั้นได้แสดงให้ข้าพเจ้ามองเห็นว่ามีเพียงแค่ทาสผู้ซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงอันเลิศเลอ

ข้าพเจ้าเคยเชื่อมั่นว่าสังคมนั้นก่อร่างขึ้นมาบนหลักการของความเสมอภาคและความยุติธรรม ทว่าเมื่อข้าพเจ้ากวาดตามองไปยังสิ่งที่อยู่รอบตัวข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ากลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากคำโกหกและการทรยศ ในทุกวันข้าพเจ้าก็ถูกทำร้ายต่อไป ในทุกหนทุกแห่งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้รู้สึกถึงความสุขและทุกข์แบบเดียวกันในคนบางคน ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็ตระหนักว่าที่ผ่านมาซึ่งข้าพเจ้าถูกพร่ำสอนให้ก้มหัวยอมจำนนต่อเกียรติยศและการอุทิศตนเป็นเพียงแค่ลมปากที่ซุกซ่อนความขุ่นเคืองที่น่าอับอายเหล่านี้เอาไว้

เจ้าของโรงงานผู้กอบโกยผลกำไรจากความยากลำบากของแรงงานผู้ถูกกดขี่นั้นกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ รัฐมนตรีผู้รับเงินใต้โต๊ะกลายเป็นคนที่มุ่งมั่นจะทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ทหารที่ทดสอบปืนไรเฟิลรุ่นใหม่ของเขาโดยการลั่นไกใส่เด็กอายุเจ็ดขวบนั้นกลายมาเป็นทหารกล้าและนายกฯก็ชื่นชมการกระทำของเขาในสภา! ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นทำให้ข้าพเจ้าเริ่มคิดจะวิพากษ์วิจารณ์สภาพสังคมเดิม ซึ่งมากมายพอที่จะให้มีใครสักคนมาชี้หน้าข้าพเจ้าและบอกว่าตัวข้าพเจ้านั้นคือศัตรูของสังคมที่ซึ่งข้าพเจ้านั้นมองว่ามันก็คือสังคมแห่งอาชญากรรม

ชั่วขณะหนึ่งที่ความคิดแบบสังคมนิยมได้ดึงดูดข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เสียใจเลยที่เลือกออกห่างจากพรรคการเมืองเช่นนั้นในท้ายที่สุด ความรักในอิสระเสรีของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ข้าพเจ้าเป็นคนที่เชื่อมั่นในเจตจำนงของปัจเจกบุคคลมากเกินไป ข้าพเจ้านั้นเชื่อมั่นในอุดมคติมากจนเลือกที่จะปฏิเสธการเข้าร่วมกองทัพ และนอกจากนี้ข้าพเจ้าก็ได้เห็นว่าโดยรากฐานของมันแล้ว สังคมนิยมเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ผู้มีอำนาจในลำดับชั้นที่ถูกจัดตั้งขึ้น โดยที่หลักการของอำนาจนิยมยังคงดำรงอยู่ต่อไป หลักการที่ไม่ว่าจะอ้างด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่มีอื่นนอกจากแนวคิดอันโบราณคร่ำครึเกี่ยวกับลำดับชั้นและอำนาจที่เหนือกว่า

ในสงครามที่ไร้ความปราณีที่เราได้ประกาศก้องต่อเหล่าชนชั้นนำ เราไม่ร้องขอความเมตตา เราเอาชนะความตายและเราเผชิญหน้ากับมัน ด้วยเหตุผลนี้ข้าพเจ้าจึงฟังคำพิพากษาของพวกท่านอย่างเฉยเมย ข้าพเจ้ารู้ดีว่าหัวของข้าพเจ้าจะไม่ใช่หัวสุดท้ายที่ถูกตัดทิ้ง ท่านจะเพิ่มนี้รายชื่อลงไปในผู้พลีชีพของเรา

พวกเราถูกแขวนคอในชิคาโก(https://en.wikipedia.org/wiki/Haymarket_affair) ถูกตัดหัวในเยอรมนี(https://en.wikipedia.org/wiki/Max_Hödel) ถูกจองจำในเฆเรซ(https://en.wikipedia.org/wiki/Mano_Negra_affair#Legal_proceedings) ถูกยิงในบาร์เซโลนา(https://en.wikipedia.org/wiki/Anarchism_in_Spain#Early_turmoil_of_1873–1900) กิโยตินในมงต์บริสัน(https://en.wikipedia.org/wiki/Ravachol) และปารีส(https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Commune) รากเหง้าของมันหลังลึกและพวกพุ่งออกมาจากสังคมอันเน่าเฟะที่ล้มละลายลง มันคือการก่อกบฏต่อเหล่ากฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นมา ยืนหยัดเพื่อความเสมอภาคและอิสรภาพซึ่งแลกมาด้วยการลุกขึ้นต่อต้านอำนาจนิยมในปัจจุบัน มันอยู่ในทุกหนทุกแห่ง นี่คือสิ่งที่ทำให้มันไม่มีวันหายไปได้ มันจะเอาชนะพวกท่านสังหารพวกท่านได้ในที่สุด!