Title: เพราะว่าฉันต้องการ...
Subtitle: คาเนโกะ ฟูมิโกะ กับแนวคิดนิฮิลิซึม รวมทั้งเหตุผลที่เธอต้องการลอบสังหารจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น
Author: kaneko fumiko
Language: Thai
Date: 29/4/2024
Source: https://theanarchistlibrary.org/library/max-res-kaneko-fumiko-because-i-wanted-to

บทนำ

คาเนโกะ ฟูมิโกะ (1903 – 1926) เป็นผู้นิยมอนาธิปไตยชาวญี่ปุ่นที่มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เธอเกิดมาในฐานะลูกนอกสมรส ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนชายขอบในสังคมญี่ปุ่น รวมทั้งการได้รับการเลี้ยงดูจากญาติที่ปราศความรักเอาใจใส่ในเกาหลีที่ถูกยึดครองในขณะนั้น[1] ประสบการณ์เหล่านี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เธอลุกขึ้นกบฏต่อเหล่าผู้มีทั้งปวงและรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่นเพื่อไปสู่จุดจบของสังคม ร่วมกับเพื่อนของเธอ สหาย และสามีของเธอในช่วงท้ายของชีวิต “พักยอล” ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมอนาธิปไตยใต้ดิน ตีพิมพ์บทความต่อต้านรัฐญี่ปุ่นและสังคม รวมทั้งวางแผนที่จะลอบสังหารจักรพรรดิไทโชและมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะในขณะนั้นด้วยระเบิดที่งานแต่งงานของฮิโรฮิโตะ

เธอและพักยอลเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่ถูกจับกุมระหว่างการกวาดล้างและการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโตในปี ค.ศ. 1923[2] พวกเขาทั้งสองคนถูกควบคุมตัว ขึ้นศาลและถูกตัดสินประหารชีวิตข้อหากบฏต่อชาติเนื่องจากวางแผนที่จะลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิและมกุฎราชกุมาร แม้จะได้รับพระราชอภัยโทษเปลี่ยนเป็นจำคุกตลอดชีวิต เธอก็ปฏิเสธมันในทันทีโดยการฉีกพระราชกฤษฎีกาทิ้งต่อหน้าผู้คุม ต่อมาในปี ค.ศ. 1926 มีคนพบร่างของเธอแขวนคออยู่ในห้องขังโดยสันนิษฐานว่าอาจจะฆ่าตัวตาย

บันทึกการสอบปากคำเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่คุณค่าเกี่ยวกับความคิดและการกระทำคาเนโกะ ฟูมิโกะ นอกเหนือจากชีวิตในวัยเด็กของเธอ ซึ่งได้รับการเปิดเผยอยู่แล้วใน บันทึกความทรงจำในคุกของผู้หญิงญี่ปุ่น[3] ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติที่เธอเขียนขึ้นมาเองระหว่างถูกจองจำ ทำให้เห็นมุมมองของเธอเกี่ยวกับแนวคิดนิฮิลิซึม[4] ลัทธิปัจเจกนิยม[5] และแนวคิดของชเตอร์เนอร์[6] ผ่านการกระทำของเธอในการต่อต้าน ‘ภาพลวงตา’ ของลัทธิขงจื๊อและเชื่อมั่นว่ามีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นเจ้าของชีวิตของเรา รวมทั้งทำให้ข้อกล่าวหาของเธอในคดีกบฏต่อองค์จักรพรรดิและรัฐญี่ปุ่นเปลี่ยนไป เนื่องจากเนื้อหาของแผนการลอบสังหารจักรพรรดิที่เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาคดีครั้งที่สองนั้นค่อนข้างไม่ชัดเจน ดังที่เฮเลน โบเวน แรดเดเกอร์[7]ได้ตั้งข้อสังเกตุเอาไว้ว่าในระหว่างการสอบสวนเธออาจจะพูดเกินจริงเพื่อให้ตัวเองดูมีความผิดมากขึ้นและถูกตัดสินโทษอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับพักยอล แม้ว่าเธอจะเคยพูดถึงความพยายามของเขาในการเตรียมจัดหาวัตถุระเบิดในคำสารภาพครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1925 ทว่าต่อมาเธอก็ยอมรับในปี ค.ศ.1926 ว่าเธอเพิ่งรู้เรื่องนี้ในภายหลัง อย่างไรก็ตาม เธอได้ปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ผู้มาสอบปากคำเธออย่างหยาบคายและแสดงความคิดเห็นต่อต้านระบอบจักรพรรดิอย่างตรงไปตรงมา

บทความนี้ประกอบด้วยบันทึกการสอบปากคำทั้งสามครั้ง อันแรกคัดลอกมาจาก ภาพสะท้อนบนหนทางสู่ตะแลงแกง : สตรีผู้ก่อกบฏในญี่ปุ่นก่อนสงคราม[8] โดย ฮาเนะ มิกิโซะ[9] แสดงให้เห็นมุมมองของเธอว่าทำไมเธอจึงกลายเป็นนิฮิลิซึมได้อย่างไร รวมทั้งแนวคิดต่อต้านระบอบจักรพรรดิของเธอ อันที่สองและสามเป็นการแปลเอกสารต้นฉบับด้วยตัวเอง ออกมาช้ากว่าอันแรกสองปีและถูกคัดลอกโดยคุริฮาระ ยาซูชิในผลงานรวบรวมงานเขียนเกี่ยวกับผู้นิยมอนาธิปไตยชาวญี่ปุ่นของเขา[10] รวมถึงการประณามระบอบจักรพรรดิและสังคมญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังมีบันทึกการสอบปากคำของฟุมิโกะ คาเนโกะและพักยอลในศาล บันทึกการพิจารณาคดี และจดหมายโต้ตอบต่าง ๆ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เช่นกันแต่ในขณะนี้อยู่นอกเหนือการเข้าถึงของผู้เขียนบทความ แม้จะมีน้อยก็ตาม ทว่างานเขียนของพวกเขาก่อนการพิจารณาคดีก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง นอกเหนือจากใน บันทึกความทรงจำในคุกของผู้หญิงญี่ปุ่น[11]ที่ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษในตอนนี้

นอกจากบันทึกของเธอเองแล้ว แหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับชีวประวัติของคาเนโกะ ฟูมิโกะยังมีในหนังสือ ภาพสะท้อนบนหนทางสู่ตะแลงแกง : สตรีผู้ก่อกบฏในญี่ปุ่นก่อนสงคราม ดังที่กล่าวไปก่อนหน้าซึ่งได้มีการแปลบทความสั้นๆของเธอ อะไรทำให้ฉันทำ?[12] และในหนังสือ นารีผู้กบฏต่อพระจักรพรรดิญี่ปุ่น[13]ของเฮเลน โบเวน แรดเดเกอร์ ซึ่งได้เปรียมเทียบฟูมิโกะกับคันโนะ ซูกะ ผู้นิยมอนาธิปไตยชาวญี่ปุ่นอีกคนที่ถูกประหารชีวิตเมื่อสิบห้าปีก่อนหน้านั้นและมีผลต่อมุมมองของฟูมิโกะ ความเชี่ยวชาญของเฮเลน โบเวน แรดเดเกอร์กับประวัติของอนาธิปไตย แนวคิดของชเตอร์เนอร์และนีทเชอ[14]ทำให้การอ่านเป็นไปอย่างไหลลื่น โดยเฉพาะเมื่ออ่านไปพร้อมกับบทกวีของฟูมิโกะซึ่งผู้เขียนได้ทิ้งเอาไว้ท้ายบทความนี้

บันทึกการสอบปากคำวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923

Q: ทำไมเธอจึงยอมรับแนวคิดนิฮิลิซึม

A: เพราะสภาพครอบครัวของฉันและการกดขี่ในสังคมที่ฉันได้พบเจอ

Q: ครอบครัวของเธอเป็นยังไง

A: ฉันไม่มีครอบครัวหรอก... พ่อแม่ของฉันทิ้งฉันไปและแยกฉันออกจากพี่น้องคนอื่น ๆ ฉันไม่เคยได้ใช้ชีวิตกับครอบครัว แม้แต่วันเกิดก็ไม่โดนบันทึกเอาไว้ด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจึงถูกกดขี่โดยสังคม หลังจากมาโตเกียว ฉันได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของซากาอิ โทชิฮิโกะ[15]และหนังสือพิมพ์สังคมนิยมอื่น ๆ เมื่อพ่อกับแม่ได้รู้เรื่องนี้พวกเขาก็กังวลว่าฉันจะกลายเป็นพวกสังคมนิยม ฉันได้รู้จักกับพักยอลเมื่อประมาณปี ค.ศ.1922 ผู้ซึ่งเป็นชาวเกาหลีที่ไม่มีชื่อเสียงและยากจน ฉันตัดสินใจอยู่กับเขาและบอกพ่อแม่เรื่องนี้ พฤษภาคมปีเดียวกันที่พ่อของฉันได้เขียนจดหมายมาว่าตระกูลของเราได้สืบเชื้อสายมาจากฟุจิวะระ โนะ ฟุซะซะกิที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยชั่วอายุคนมาแล้ว [16] และฉันได้ดูถูกสายเลือดของซาเอกิอันสูงส่งนี้โดยการไปอาศัยอยู่กับชาวเกาหลีชั้นต่ำ[17] เขาได้ปฏิเสธฉันและต่อจากนี้ฉันก็จะไม่คิดว่าเขาเป็นพ่อของฉันอีกต่อไปตามที่เขาบอก ดังนั้นฉันจึงถูกตัดขาดโดยพ่อของฉันผู้ที่ทอดทิ้งฉันไปแต่แรก แม่ของฉันก็ทิ้งฉันไปเหมือนกัน... เธอเคยตั้งใจจะขายฉันให้กับซ่องด้วยซ้ำ... พ่อแม่ของฉันไม่เคยให้ความรักกับฉันเลย กลับกันพวกเขาเอาแต่แสวงหาผลประโยชน์จากฉัน สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง มันคือรูปแบบหนึ่งของความโลภ ดังนั้นตัวฉันที่เป็นผลผลิตมาจากความโลภจึงไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ถูกเรียกว่าความกตัญญู คำว่าคุณธรรมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ มันถูกบิดเบือนอยู่เสมอเพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่แข็งแกร่ง นั่นคือผู้แข็งแกร่งยืนกรานที่จะรักษาอิสรภาพในการกระทำของพวกเขา ในขณะที่เรียกร้องให้ผู้อ่อนแอยอมจำนน จากมุมมองของผู้ที่อ่อนแอแล้ว ศีลธรรมไม่ต่างอะไรกับการให้ยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่ง สิ่งเหล่านี้ต่างก็เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยและทุกสังคม จุดมุ่งหมายของเหล่าผู้มีคือการรักษาหลักศีลธรรมพวกนี้ไว้ให้นานที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกต่างก็ดำเนินไปตามหลักนี้เช่นกัน แค่ถูกเคลือบเอาไว้ด้วยคำว่า ‘กตัญญู’ ที่ฟังดูรื่นหูก็เท่านั้น

Q: เธอรู้จักกับพวกสังคมนิยม และในที่สุดก็กลายมาเป็นนิฮิลิซึมได้อย่างไง

A: ฉันได้พบกับพวกปัญญาชนสามกลุ่มขณะที่กำลังเร่ขายหนังสือพิมพ์ กลุ่มแรกคือชาวพุทธผู้ร้องหานิพพาน กลุ่มที่สองคือหมอสอนศาสนาคริสต์ที่เอาแต่พูดถึงพระผู้ไถ่และตีกลองของพวกเขา[18] กลุ่มที่สามคือพวกสังคมนิยมไว้ผมยาวเฟื้อยซึ่งเอาแต่กรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ฉันเข้าไปหาพวกคริสเตียนก่อน

[จากนั้นเธอก็เล่าถึงประสบการณ์ของเธอกับไซโตะ ผู้ซึ่งในบันทึกความทรงจำของเธอเรียกเขาว่าอิโต เธอได้อธิบายว่าเธอรู้สึกหมดศรัทธาในศาสนาคริสต์หลังจากที่เขาบอกว่าเขาต้องยุติมิตรภาพกับเธอเพราะเขาตกหลุมรักเธอ]

มันย้อนแย้งจังเลยนะที่ชาวคริสต์ผู้เทศนาถึงความรักตรงริมถนนกลับล้มเหลวในการเป็นผู้มอบความรักที่บริสุทธิ์เสียเอง พวกคริสเตียนเอาแต่ติดหล่มอยู่ในแนวคิดของพระเจ้าที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง มันเป็นความซื่อสัตย์จงรักภักดีอันขี้ขลาดตาขาวที่ทาสมอบให้กับเจ้านายของพวกเขา คุณธรรมและความงดงามของมนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นได้จากการได้ใช้ชีวิตโดยปราศสิ่งใดมาคอยควบคุมบงการ ฉันได้ตัดสินว่าฉันไม่สามารถที่จะศรัทธาในศาสนาคริสต์ที่เทศนาถึงหลักธรรมคำสอนที่ขัดต่ออุดมคติของฉันได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเลิกเป็นคริสเตียน...

[หลังจากนั้นเธอก็ได้รู้จักกับนักสังคมนิยมที่ชื่อว่า โฮริ คิโยโตชิ แต่เธอก็รู้สึกเลิกนับถือเขาในไม่นานหลังจากนั้น เธออ้างว่าเขาเป็นพวกคนคนหน้าซื่อใจคดที่ปกปิดความสัมพันธ์กับคนรักที่เป็นเกอิชาเนื่องจากกลัวว่ามันจะขัดขวางโอกาสในอาชีพการงาน นอกจากนี้ยังให้ลูกจ้างที่โรงพิมพ์ของเขาทำงานแทนเขาในขณะเขาก็เพลิดเพลินไปกับเวลาว่าง]

ฉันยังได้รู้จักกับ คุสึมิ ฟุซาโกะ นักสังคมนิยมอีกคนหนึ่ง ซึ่งการใช้ชีวิตของหล่อนนั้นก็ไม่ต่างจากโฮริเท่าไหร่ หล่อนสนใจแต่ความต้องการของหล่อนเองโดยละเลยลูก ๆ ของหล่อน หล่อนมักหาข้ออ้างที่จะไปเที่ยวกับพวกผู้ชายหนุ่ม ๆ และอยู่นอกบ้านตลอดทั้งวัน ฉันเคยได้ยินหล่อนพูดเองเลยว่าทั้งหมดที่หล่อนต้องทำก็แค่ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีว่า “สังคมในปัจจุบันต้องถูกทำลาย” เพื่อให้ตำรวจเข้ามายุ่ง และวันต่อมาหนังสือพิมพ์ก็จะรายงานข่าวว่าหล่อนเป็นพวกหัวรุนแรงตำรวจจึงหยุดไม่ให้หล่อนปราศรัย ฉันเบื่อหน่ายจริง ๆ กับความปรารถนาของพวกนักสังคมนิยมทั้งหลายที่ต้องการให้มีชื่อตัวเองอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ในตอนนั้นหล่อนไม่มีแม้แต่เงินจะซื้ออาหารด้วยจึงนำเสื้อผ้าของฉันไปจำนำโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตฉันก่อน และไม่คิดจะไปไถ่คืนจนเลยกำหนดเวลา ฉันไม่ได้บ่นถึงการที่เสื้อผ้าของฉันหายไปแม้หล่อนจะรู้ดีว่าฉันต้องการมันอย่างยิ่งเพราะฤดูหนาวมาถึงแล้ว แล้วหล่อนก็ไม่คิดจะรับผิดชอบด้วย นั่นทำให้ฉันยิ่งเกลียดทัศนคติของหล่อน พวกสังคมนิยมที่ไม่คิดถึงความต้องการของคนอื่นและคิดแต่จะหาเลี้ยงตัวเอง

ฉันเคยวาดฝันเอาไว้ว่านักสังคมนิยมคือคนที่ไม่สนใจขนบธรรมเนียมและศีลธรรมไร้สาระของสังคมพวกนี้ ฉันเคยมองว่าพวกเขาก็คือนักสู้ผู้กล้าที่ไม่สนใจชื่อเสียง เกียรติยศ และตำแหน่งใด ๆ ฉันเคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นก็คือนักสู้ผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในปัจจุบันและสร้างโลกใบใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทว่าสุดท้ายแล้ว แม้จะกล่าวอ้างว่าพวกเขาได้วิพากษ์วิจารณ์ความสองมาตรฐานของสังคมเราอย่างไร พวกเขาก็ยังคงติดอยู่ในหล่มเดิม ๆ ไม่ต่างอะไรกับบรรดานายทหารที่ประดับเหรียญตราบนหน้าอกอย่างภาคภูมิใจ นักสังคมนิยมพวกนี้ก็ต้องการให้มีชื่อของตนอยู่ในบัญชีหนังหมาของตำรวจเพื่อชื่อเสียง เมื่อฉันได้ตระหนักถึงความเป็นจริงนี้ ฉันก็หันหลังให้กับคนเหล่านั้น

ฉันยังคงกังวลกับชาวนาที่จมอยู่กับความทุกข์ยากอย่างชินชา กรรมกรที่ยังคงทำงานต่อไปอย่างหลังขดหลังแข็งและถูกงานกลืนกิน แม้ว่าโซ่ตรวนที่พันธนาการคนเหล่านั้นไว้จะถูกไขออก ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะยังกลับไปหาผู้มีทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกพร้อมกับวิงวอนให้คนเหล่านั้นจองจำพวกเขาเอาไว้อีกครั้ง บางทีพวกเขาก็คงจะมีความสุขกว่านี้ถ้าหากปล่อยให้พวกเขายังคงปิดหูปิดตาและเพิกเฉยต่อไป นั่นทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงกับอุดมการณ์การเมืองทั้งปวง และตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1922 ความคิดแบบนิฮิลิซึมก็ได้ตราตรึงเข้าไปในหัวใจของฉันจวบจนทุกวันนี้

ความหมายของนิฮิลิซึมสำหรับฉันแล้ว... พูดง่าย ๆ ว่ามันก็คือรากฐานของความคิดของฉัน เป้าหมายของการกระทำของฉันคือการทำลายล้างชีวิตทั้งปวง ฉันรู้สึกแค้นเคืองผู้มีทั้งหลายมาโดยตลอด ฉันเกลียดชังพ่อแม่ของฉันที่ทำร้ายฉันโดยอ้างว่ามันคือความรัก ฉันเกลียดรัฐและสังคมที่กดขี่ฉันในนามของความรักที่เป็นสากล[19]

เมื่อมองไปยังโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดแม้จะต้องฆ่ากันเองก็ตาม ทำให้ฉันสรุปได้ว่าหากมีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่เป็นนิรันดร์จริง นั่นก็คือผู้ที่อ่อนแอตกเป็นเหยื่ออันโอชะของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ การเอาชีวิตรอดในโลกแห่งความเป็นจริงได้เข้ามาตีแสกหน้าฉันว่าผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ชนะ ส่วนคนอ่อนแอก็แพ้ไป นั่นทำให้ฉันไม่แม้แต่จะสามารถจินตนาการถึงสังคมในอุดมคติที่ปราศจากและการบีบบังคับ ตราบใดก็ตามที่ยังคงมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ความสัมพันธ์เชิงที่มีรากฐานมาจากหลักการนี้ (ผู้ที่แข็งแกร่งทำร้ายคนที่อ่อนแอ) ก็ยังคงมีอยู่ต่อไป และนั่นก็เพราะว่าประสบการณ์ในอดีตของฉันต่างก็เป็นเรื่องราวของการถูกกดขี่จากคนมีทั้งหลาย ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะปฏิเสธทั้งหมด กบฏต่อพวกมัน ไม่เพียงแต่เดิมพันด้วยชีวิตของตัวฉันเองเท่านั้นแต่ยังรวมถึงมนุษย์ชาติทั้งปวงด้วย

นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันจึงได้วางแผนที่จะขว้างระเบิดและยอมรับความตายที่คงตามมาในไม่ช้า ฉันไม่สนหรอก ว่าการกระทำของฉันนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมาหรือไม่ เพราะว่าฉันได้ตอบสนองความปรารถนาของตัวฉันเองแล้ว ฉันไม่พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมใหม่บนรากฐานของรูปแบบอื่นอีก

Q: เธอคิดยังไงกับรัฐญี่ปุ่นและสภาพสังคม

A: ฉันแบ่งโครงสร้างรัฐและสังคมญี่ปุ่นออกเป็นสามชนชั้น

ชนชั้นแรกคือพวกเชื้อพระวงศ์

ชนชั้นที่สองคือรัฐบาล รัฐมนตรีและพวกผู้มีทางการเมือง

ชนชั้นที่สามคือราษฎรทั้งหลาย

สำหรับฉันแล้วคนกลุ่มแรกหรือก็คือพวกราชวงศ์เป็นเหยื่อที่น่าสมเพชซึ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างอะไรกับนักโทษในเรือนจำที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยโดยคนกลุ่มที่สองซึ่งเป็นคนมีที่แท้จริงผู้ซึ่งคอยหลอกหลวงเหล่าราษฎรกลุ่มที่สาม ก็ตามที่ฉันเคยพูดไปแล้วว่าเป็นพวกที่เพิกเฉยต่อสังคม คนกลุ่มที่สองในฐานะผู้มีทางการเมือง พวกเขาก็คือผู้ที่กดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอเช่นเดียวกับฉัน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่มีความรู้สึกอะไรอื่นนอกจากความเกลียดชังต่อคนเหล่านี้ เมื่อคะนึงถึงความเป็นจริง ในขณะที่คนกลุ่มที่สองคือผู้กุมทางพฤตินัย คนกลุ่มแรกก็คือผู้ถือทางนิตินัยนั่นเอง ดังนั้นทั้งสองชนชั้นจึงร่วมมือกัน เพราะเหตุนี้ฉันจึงคิดกบฏต่อคนกลุ่มแรกก่อนแล้วค่อยจัดการคนกลุ่มที่สองในเวลาต่อมา ฉันยังคิดจะขว้างระเบิดใส่ทั้งสองฝ่ายด้วย ฉันพักยอลคุยกันเรื่องนี้อยู่

ฉันยังเขียนไดอารี่ขณะถูกคุมขังด้วย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ฉันได้เขียนไว้ว่า ‘สิทธิของปวงชนกำลังถูกผู้มีโยนทิ้งไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นลูกบอล ในที่สุดเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลก็ได้จับฉันเข้าคุก แต่ปล่อยให้ฉันให้คำแนะนำดี ๆ สองสามอย่างกับคุณเถอะ ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกคุณคงต้องฆ่าฉันแล้วหละ คุณอาจจะขังฉันเอาไว้ในคุกก็ได้ แต่ถ้าโดนปล่อยตัวเมื่อไหร่ ฉันก็คงจะยังทำเหมือนเดิม ฉันจะทำลายล้างร่างกายของฉันเองและช่วยคุณให้พ้นจากปัญหาพวกนี้ คุณจะพาตัวฉันไปไหนก็ได้ ไปที่กิโยตินเลยถ้าคุณอยาก หรือว่าจะไปที่คุกฮาชิโอจิ[20] สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นแล้วถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่ต้องการ คุณก็จะพิสูจน์ได้เองว่าฉันใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง และฉันมีความสุขกับสิ่งนั้น’ คุณคาดหวังให้ฉันประนีประนอมกับพวกคุณ และกลับไปใช้ชีวิตตามขนมธรรมเนียมของสังคมงั้นหรือ? ถ้าฉันก้มหัวกับคุณในตอนนี้ ฉันก็คงต้องก้มหัวให้คนอย่างคุณต่อไปเมื่อออกไปข้างนอกอีก คุณไม่จำเป็นต้องสั่งสอนฉันเรื่องนั้นหรอก ฉันฉลาดพอที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ฉันเตรียมใจมาพร้อมแล้วกับสิ่งที่คุณจะทำกับฉัน ดังนั้นจงทำตามที่คุณต้องการ อย่าลังเลอีกเลย อันที่จริงฉันก็อยากออกไปข้างนอกอยู่นะ ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ต้องทำก็คือการพูดว่า ‘ฉันเปลี่ยนใจแล้ว’ แต่ฉันไม่สามารถทรยศต่อตัวฉันในปัจจุบันนี้เพื่อให้มีชีวิตรอดในอนาคตข้างหน้าได้

เจ้าหน้าที่รัฐทั้งหลาย ฉันขอประกาศก้องอีกครั้งว่า ‘แทนที่จะยอมก้มกรามผู้มี ฉันยอมตายอย่างซื่อสัตย์ต่อตนเองดีกว่า ถ้ามันทำให้พวกคุณไม่พอใจ พวกคุณก็สามารถลากฉันไปได้ทุกที่นั่นแหละถ้าต้องการ ฉันไม่กลัวต่อสิ่งที่พวกคุณจะทำกับฉัน’ นี่คือสิ่งที่ฉันคิดไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือในปัจจุบันนี้

Q: เธอคิดแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนเจอกับพักยอลรึเปล่า

A: แน่นอน หลักจากได้พบกับพักยอล เราก็เริ่มคุยกันและพบว่าพวกเรานั้นมีความเห็นที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นแล้วเพื่อที่จะทำงานร่วมกันก็เลยมาอยู่ด้วยกัน

[ในระหว่างการสอบสวน เธอได้เปิดเผยมุมมองของเธอต่อระบอบจักรพรรดิอย่างตรงไปตรงมา]

ฉันเชื่อว่าจักรพรรดิเป็นตัวไร้ประโยชน์ตั้งแต่ก่อนจะมาเจอกับพักยอลแล้ว ที่ฉันกับพักยอลมาทำงานร่วมกันก็เพราะเราเห็นด้วยในสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน เรากลายมาเป็นสหายกันก็เพราะต้องการที่จะโค่นล้มระบอบจักรพรรดิ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ทว่ามนุษย์ชาติผู้มีความเสมอภาคกันแต่โดยกำเนิดกลับถูกทำให้ไม่เสมอภาคโดยการมีอยู่ของระบอบจักรพรรดิ จักรพรรดิควรจะมีความน่าเคารพและสูงส่ง แต่เมื่อได้เห็นรูปถ่ายของพวกเขาแล้ว เขาก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างพวกเรานี่เอง มีสองตา หนึ่งปาก มีขาไว้เดินและมีมือไว้ทำงาน เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ทำงานและเดินด้วยมือและขาของตัวเอง นี่คือความต่างเพียงอย่างเดียว และสาเหตุที่ฉันปฏิเสธความจำเป็นของระบอบจักรพรรดิเพราะฉันเชื่อมั่นว่าทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน

เราถูกสอนมาว่าจักรพรรดินั้นสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้า พระเจ้าคือผู้มอบสิทธิในการปกครองให้กับเขา แต่ฉันเชื่อว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามก็แค่ตำนานปรัมปราเท่านั้นเอง[21] ถ้าจักรพรรดิคือพระเจ้าจริง ๆ ทหารผู้จงรักภักดีเหล่านั้นก็คงไม่ตายหรอกจริงไหม ทำไมราษฎรหลายหมื่นคนของพระองค์จึงต้องมาล้มตายเพราะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นทั้งที่พระองค์เองก็เป็นลูกหลานของพระเจ้ากันหละ เรามีคนที่ควรจะเป็นสมมติเทพ ผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยฤทธิ์เดชและมีพระปรีชาสามารถ จักรพรรดิผู้ซึ่งควรรู้ถึงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่ลูก ๆ ของพระองค์เองกลับคร่ำครวญเพราะความหิวโหย สูดควันในเหมืองถ่านหินจนขาดใจตาย และถูกเครื่องจักรในโรงงานทับจนร่างเหลวแหลก ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันหละ นั่นก็เพราะแท้จริงแล้วจักรพรรดิก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง เราต้องการที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าจักรพรรดิเองก็เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนเช่นเดียวกับเราทุกคน ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนที่จะขว้างระเบิดใส่เขา เพื่อที่เขาจะได้ตายเช่นเดียวกับคนธรรมดาคนหนึ่ง

เราถูกสอนมาว่าสัญลักษณ์ของชาติก็คือสายเลือดของจักรพรรดิที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นต่อรุ่น แม้ว่าลำดับสาแหรกเหล่านั้นจะกำกวมก็ตาม และถึงมันสืบเชื้อสายไปได้เป็นพัน ๆ ปีจริงนั่นก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจแต่เป็นเรื่องน่าละอายเสียด้วยซ้ำที่คนญี่ปุ่นเพิกเฉยและปล่อยให้ทารกโง่ ๆ คนหนึ่งปกครองพวกเขาในฐานะจักรพรรดิ[22]

ภายใต้ระบบจักรพรรดิ การศึกษา กฎหมาย และหลักศีลธรรมต่างก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อปกป้องของผู้เป็นจักรพรรดิอยู่แล้ว ความคิดที่ว่าจักรพรรดิเป็นสมมุติเทพที่เปี่ยมล้นด้วยไปด้วยฤทธิ์เดชและปรีชาสามารถก็เป็นเพียงแค่จินตนาการ ผู้คนถูกจูงจมูกให้เชื่อว่าพระจักรพรรดิและมกุฏราชกุมารเป็นตัวแทนของอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ทั้งที่พวกเขาเองก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่ไร้สมองคนหนึ่ง แนวคิดเรื่องความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและความรักชาติมันก็เป็นแค่ลมปากของชนชั้นอภิสิทธิ์ที่ต้องการเติมเต็มความโลภของพวกเขาก็เท่านั้นเอง

บันทึกการสอบปากคำวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1925

Q: จากการสอบปากคำครั้งล่าสุด ความคิดที่จะขอให้คิมฮัน[23]จัดหาวัตถุระเบิดให้สำหรับใช้ในงานอภิเษกสมรสของมกุฏราชกุมารเกิดขึ้นจากการพูดคุยกับพักยอลใช่หรือไม่

A: ถูกต้อง

Q: การที่พวกคุณขอให้คิมหันจัดหาวัตถุระเบิดให้นั้นเป็นการเตรียมการสำหรับพระราชพิธีเสกสมรสของมกุฏราชกุมารรึเปล่า[24]

A: ฉันรู้ว่าจะมีการจัดงานแต่งงานให้มกุฎราชกุมารเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่พักยอลไปที่กยองซอง[25]เพื่อติดต่อกับคิมฮัน

ฉันจำได้ว่าตอนนั้นยังไม่มีวันแต่งของเจ้าชายชัดเจน แต่ก็ฉันคาดว่าขบวนแห่คงจัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ฉันคิดว่าเพราะแบบนี้พักยอลถึงไปที่กยอลซองเพื่อเตรียมระเบิดให้ทัน

Q: เธอได้คุยกับพักยอลเรื่องพระราชพิธีเสกสมรสของมกุฏราชกุมารหลังจากที่เขากลับมาจากกยองซองหรือเปล่า

A: ฉันคุยกับพักยอลเสมอ ๆ ถึงการวางแผนที่จะวางระเบิดเจ้าชายในพิธีสมรส ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังที่เขาไปกยองซอง หลังจากนั้นฉันก็จำไม่แม่นเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังไง ฉันคิดว่าการวางระเบิดในพิธีสมรสน่าจะเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ฉันคิดว่าพักยอลอาจจะบอกคิมฮันให้หาระเบิดให้ทันตอนที่เขาไปกยอลซอง

Q: หลังจากที่กลับจากกยอลซอง พักยอลได้บอกคุณเกี่ยวกับแผนวางระเบิดที่พระราชพิธีเสกสมรสของมกุฏราชกุมารหรือเปล่า

A: ฉันไม่ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนั้นเลย สิ่งเดียวที่เขาบอกฉันหลังจากกลับจากกยอลซองคือคิมฮันจะใช้ระเบิดร่วมกับเราด้วย

Q: ถ้าเป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่ที่พักยอลกลับมาที่กยอลซองในปี ค.ศ. 1922 พวกคุณได้คุยกันไหมว่าคิมฮันอาจจะไม่สามารถจัดหาระเบิดให้คุณได้ทันเพราะเหตุการณ์คิมซางอ๊ก[26] ในเมื่อพวกคุณได้ระเบิดจากเขามาในปลายปีเดียวกันนี้เอง

A: ถึงฉันจะคุยกับพักยอลหลายครั้งเกี่ยวกับการวางระเบิดพิธีสมรส แต่ฉันจำเรื่องนั้นไม่ได้เลย

Q: แล้วเรื่องที่เธอคุยกับคิมจุงฮันหละ[27]

A: ฉันจำได้ชัดเจนว่าตอนนั้นมีเรื่องที่ฉันกับพักยอลคุยกันเกี่ยวกับการวางระเบิดพิธีสมรส

Q: เธอจะวางระเบิดใคร

A: ท้ายสุดแล้ว เราจะมีความสุขมากถ้าลอบสังหารเจ้าชายได้สำเร็จ

คงดีถ้าได้สังหารจักรพรรดิไปด้วยกัน แต่มันก็ยากแล้วเขาก็ป่วยอยู่แล้ว[28]ทำไปก็คงไม่สะเทือนเท่าไหร่เลยไม่น่าคุ้ม[29] ดังนั้นเราก็เลยมุ่งเป้าไปที่เจ้าชายแทน

Q: พอได้ระเบิดมาแล้วใครจะเป็นคนขว้างมัน

A: แน่นอนว่าฉันกับพักยอลก็คิดจะทำเหมือนกัน แต่ฉันก็เคยขอให้สหายคนอื่น ๆ อย่างนิยามะ ชเว กยู-จง และยามาโมโตะ คัตสึยูกิทำด้วย

สิ่งที่ฉันคิดไว้ในใจคือ นิยามะกับยามาโตะมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับหน้าอกมาสักพักแล้วและพร้อมที่จะตาย ชเวเป็นคนประเภทที่พอมีอะไรจุดติดเข้าหน่อยแล้วก็จะพุ่งไปเลย พักยอลกับฉัน ให้ทั้งสามแยกกันแล้ววางระเบิดที่สถานที่สำคัญต่างๆ อย่างรัฐสภา ห้างสรรพสินค้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พระราชวังหลวงโตเกียว

แต่สำหรับนิยามะ หลังจากที่เธอเริ่มรักกับคิมจุงฮัน เรารู้สึกว่าเธอไม่เหมาะกับงานอะไรแบบนี้เลยล้มเลิกแผนที่จะให้สหายคนอื่นทำ

Q: การลอบปลงพระชนม์มงกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะเป็นเพียงเป้าหมายเดียวของคุณหรือเปล่า

A: สุดท้ายเราคงจะดีใจมาถ้าลอบสังหารเจ้าชายได้สำเร็จ แต่ถ้าเป็นไปได้จริง ๆ เราก็อยากจะสังหารเขาไปพร้อมกับนายกรัฐมนตรีและคนมีการเมืองจริง ๆ คนอื่น แต่เรากลับชักช้าเกินไปทั้งที่ได้ระเบิดมาอยู่ในมือแล้ว มันคงงี่เง่ามากเลยถ้าโดนเจ้าหน้าที่จับได้เหมือนกับที่ฉันมานั่งอยู่ตรงนี้ เราคิดว่าถ้าไม่มีโอกาสจริง ๆ ก็คงจะวางระเบิดในการเฉลิมฉลองวันแรงงานสากลหรือไม่ก็ตอนเปิดประชุมสภา

Q: แรงจูงใจหลักของพักยอลเองก็เหมือนกับคุณใช่ไหม

A: ใช่

Q: ทำไมเธอจึงต้องการปองร้ายมงกุฎราชกุมารเช่นนี้

A: ฉันคิดมานานแล้วว่ามนุษย์ทั้งหมดมีความเท่าเทียมกัน ทุกคนที่เกิดเป็นมนุษย์ล้วนเท่าเทียมกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะโง่หรือฉลาด แข็งแรงหรืออ่อนแอ ในฐานะที่ฉันเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่งบนโลก ฉันเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน และในฐานะมนุษย์แล้ว พวกเขาก็ต้องได้รับสิทธิที่มนุษย์พึงมีในฐานะมนุษย์อย่างสมบูรณ์และเท่าเทียมเช่นกัน

พูดง่าย ๆ คือความสามารถและพละกำลังที่มนุษย์จะทำอะไรได้ก็มีพื้นฐานมาจากว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นแล้ว ฉันก็เลยคิดว่าการกระทำทั้งหมดที่ซึ่งมีรากฐานมาจากธรรมชาติและดำเนินมาด้วยฝีมือมนุษย์บนโลก ก็สมควรที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่เท่าเทียมกันในฐานะที่มนุษย์สามารถพึงกระทำ แต่ถึงกระนั้น ความสามารถของมนุษย์คนหนึ่งต่างก็ถูกปิดกั้นและควบคุมโดยกฎระเบียบที่มนุษย์นั้นเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง มนุษย์ที่ควรจะเท่าเทียมกันโดยกำเนิดกลับถูกสภาพสังคมทำให้ไม่เท่าเทียมกัน ฉันรังเกียจความอยุติธรรมเหล่านี้ เมื่อสองสามปีมานี้ฉันก็เริ่มคิดถึงเหล่ามนุษย์ผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่าขุนนางและชนชั้นสูงที่ถูกปฏิบัติราวกับว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดต่างจากสามัญชนราวกับฟ้าและดิน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ภาพถ่ายของพวกเขาที่เห็นกันในหนังสือพิมพ์ก็เห็น ๆ อยู่ว่าไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปอย่างเรา ๆ เลยแม้แต่น้อย มีสองตา หนึ่งปาก สองขาไว้เดิน สองมือไว้ทำงาน โดยที่ก็ไม่ได้ขาดอะไร

เอาเข้าจริง ฉันก็ไม่คิดหรอก ว่าคนพิการที่มีของแบบนี้ไม่ครบจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นที่ว่ามา (แปลตรงตัว ผู้แปลไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้)

สรุปง่าย ๆ คือเวลาที่เราพูดถึงชนชั้นสูงหรือเชื้อพระวงศ์ เราก็จะรู้สึกแบบว่าเหมือนเรากำลังพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่จะไปจาบจ้วงไม่ได้ นี่เป็นความรู้สึกที่ฝังแน่นอยู่ในใจของคนจำนวนมาก กล่าวกลับกันคือรัฐญี่ปุ่นและชนชั้นนำได้ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสถาบันที่แตะต้องไม่ได้เลย

ตั้งแต่แรกเริ่ม สิ่งต่าง ๆ อย่างประเทศ สังคม พลเมือง และผู้ปกครองต่างก็เป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์แก่ชนชั้นปกครอง แนวคิดเรื่องสมมุติเทพจึงถูกสร้างขึ้นมา ใครก็ตามที่เกิดมาในแผ่นดินญี่ปุ่นก็จะถูกปลูกฝังแนวคิดนี้แม้แต่เด็กประถม ยกตัวอย่างเช่น ‘จักรพรรดิเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้า’ ‘พระเจ้าได้มอบสิทธิในการปกครองนี้ให้กับองค์จักรพรรดิ’ หรือ ‘จักรพรรดิเป็นผู้ที่ปกครองประเทศให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า’ ด้วยเหตุนี้กฎหมายต่าง ๆ ก็เลยเป็นเจตจำนงของทวยเทพไปด้วย อย่างตำนานกระจก ดาบและเพชรที่พระเจ้าประทานมานี่แหละ เรื่องลวงโลกทั้งนั้น เหล่าราษฎรก็ถูกหลอกลวงให้เชื่อในตำนานไร้สาระพวกนี้ ถือว่ารัฐบาลและจักรพรรดิเป็นสมมุติเทพอันแตะต้องมิได้ แต่ถ้าจักรพรรดิเป็นสมมุติเทพหรือว่าสืบเชื้อสายมาจากพระผู้เป็นเจ้าจริง ๆ ถ้าหากว่าราษฎรทั้งหลายถูกคุ้มครองจากเหล่าทวยเทพจริง ๆ ละก็ จะไม่มีทหารของพระราชาคนใดที่ตายในสนามรบ ไม่มีเครื่องบินรบลำไหนที่โดนยิงตกลงมาจากฟากฟ้า แล้วก็คงไม่มีราษฎรผู้จงรักและภักดีคนใดที่ต้องมาตายในบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองจากธรณีพิบัติภัยเมื่อปีก่อนหรอก

ทว่าสิ่งที่เหลือเชื่อแบบนี้กลับกลายมาเป็นข้อเท็จจริงที่มิอาจจะแปรเปลี่ยน แนวคิดเรื่องสมมุติเทพที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องลวงโลกที่ได้รับพิสูจน์กันมานักต่อนักแล้วว่าเป็นแค่ตำนานปรัมปรา ไม่สำคัญหรอก ว่าจักรพรรดิคนที่เป็นสมมุติเทพและปฏิบัติตามเจตจำนงของพระเจ้าจริง ๆ นั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่าราษฎรผู้อดยากซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์กำลังจะสำลักควันตายในเหมืองถ่านหินหรือไม่ก็ถูกเครื่องจักรในโรงงานทับเอาจนร่างกายเหลวแหลกอยู่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งชัดเจนมิใช่หรือว่าจักรพรรดินั้นก็เป็นแค่ก้อนเนื้อที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเฉย ๆ และทุกคนก็ควรจะเท่าเทียมกับเขานั่นแหละ เขาก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ เจ้าหน้าที่สอบปากคำ ตอนประถมฉันก็เคยเรียนมานะว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาในแผ่นดินที่มีพระจักรพรรดิที่สืบเชื้อสายมากว่าพัน ๆ ปี ดังนั้นโตไปเราจึงต้องช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป ฉันไม่รู้หรอก ว่าสายเลือดของพระจักรพรรดิสามารถสืบเชื้อสายไปได้กว่าพันปีจริงไหม แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง การถูกปกครองโดยตระกูลตระกูลเดียวเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจจริง ๆ หรือ? ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับจักรพรรดิสักคนนี่แหละที่จมน้ำตายแล้วก็กลายเป็นอาหารปลา ชื่อว่าจักรพรรดิอันโตกุหรืออะไรนี่แหละ[30] เขาขึ้นมาเป็นจักรพรรดิเมื่ออายุสองขวบเองนิ การแต่งตั้งคนที่ไม่มีความสามารถอะไรในการปกครองประเทศนะไม่ใช่การดูถูกเกียรติของผู้ปกครองหรอกหรือ อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ตระกูล ๆ เดียวมีปกครองประเทศมากว่าพัน ๆ ปีแม้จะเพียงแค่ในนามนั่นก็ถือเป็นความน่าอับอายอย่างใหญ่หลวงของผู้ที่เกิดบนแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว และเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความเพิกเฉยของคนญี่ปุ่นได้ดีทีเดียว

โศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน ที่ซึ่งคนมากมายกำลังโดนไฟคลอกตายในขณะที่จักรพรรดิได้รับคุ้มครองอย่าง VVIP แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยแหละว่าเขาก็เป็นแค่ก้อนเนื้อโง่ ๆ และในขณะเดียวกันก็ดูแคลนเหล่าผู้คนที่ยังเชิญชูบูชาเขาอยู่ด้วย

ระบบการศึกษาพยายามสอนและปลูกฝังมนุษย์ทุกคนบนโลกให้จงรักภักดีต่อสิ่งที่เรียกว่า “ธงชาติ” และบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของลัทธิชาตินิยมลงไปในตัวพวกเขา การกระทำต่าง ๆ ที่มีรากฐานมาจากความสามารถที่เท่าเทียมกันในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งได้ถูกแบ่งออกเป็นถูกและผิดภายใต้มาตรฐานเดียวกันไม่ว่ามันจะสนับสนุนผู้มีหรือไม่ มาตรฐานเหล่านั้นก็คือกฎระเบียบและศีลธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นนี่เอง

ตำรวจผู้ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องกฎหมายที่ทำให้คนรวยอยู่แล้วรวยขึ้นไปอีกและยอมจำนนต่อผู้มี หันกระบอกปืนใส่ใครก็ตามที่คิดว่าจะท้ายทายของพวกเขา ผู้พิพากษาอันทรงเกียรติที่ตัดสินการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งด้วยอะไรก็ตามที่โดนเขียนไว้ในสมุดกฎหมายเล่มเดียว ปฏิเสธมนุษยธรรมแม้ว่าเขาเองนั้นก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกันและปกป้องผลประโยชน์ของผู้มี

เช่นเดียวกับในยุคทองของศาสนาทั้งหลาย เพื่อที่จะปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพวกเขาก็เลยห้ามการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เพราะกลัวว่ามันจะไปสั่นคลอนการมีตัวตนอยู่ของพระเจ้าและขนบธรรมเนียมประเพณีที่สั่งสมกันมาอย่างยาวนาน อย่างเช่นเรื่องสมมุติเทพนั่นแหละ ว่าเป็นเรื่องไม่เที่ยงแท้ ก็เลยต้องใช้กำลังเพื่อปิดปากคนเห็นต่างเพราะกลัวที่จะถูกเปิดโปง

โลกเราโดนครอบงำและเหยียบย่ำโดยปีศาจที่ถูกเรียกว่า เพราะว่ามนุษย์ทุกคนผู้ซึ่งควรจะได้ใช้ชีวิตของตนอย่างอิสระเสรีจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อรับใช้คนมีเท่านั้น

ตัวแทนของปีศาจผู้มีที่เหยียบย่ำชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกที่ควรจะเสมอภาคกันก็คือจักรพรรดิและมกุฏราชกุมาร นี่คือสาเหตุว่าทำไมฉันจึงต้องการลอบสังหารเจ้าชาย

และในฐานะสัญลักษณ์ของที่เหยียบย่ำความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน ก้อนเนื้อที่เหมือนก้อนดินก้อนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิและมกุฏราชกุมาร กำลังหลอกลวงราษฎรทั้งหลายว่าพวกเขาคือสมมุติเทพที่ละเมิดมิได้เพื่อกดขี่ขูดรีดพวกเขา และฉันทำให้ฉันอยากจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าจักรพรรดิและมกุฏราชกุมารที่ละเมิดมิได้นั่นก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับก้อนเนื้อโง่ ๆ ก็แค่หุ่นเชิดที่โดนพวกอภิสิทธิ์ชนไม่กี่คนใช้เป็นเครื่องมือเพื่อความมั่งคั่งของตน แสดงให้เห็นว่าแนวคิดโบราณเรื่องสมมติเทพไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเรื่องปรัมปรา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าของชาติญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของเทพเจ้าไม่มีอะไรมากไปกว่าลมปากเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นอภิสิทธิ์ด้วยอุดมการณ์เสียสละเพื่อชาติที่ถูกเรียกว่า ‘ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ ที่ได้รับการยกย่องและโฆษณาชวนเชื่ออย่างแพร่หลายว่าเป็นสโลแกนประจำชาติ ความหมายของมันไม่มีอะไรมากไปกว่าพระราชประสงค์อันโหดเหี้ยมที่ส่งคนไปตายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ฉันมุ่งเป้าไปที่เจ้าชายเพื่อเตือนใจทุก ๆ คนว่าการเพิกเฉยให้สิ่งเหล่านี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ที่จะโต้แย้งไม่ต่างอะไรกับการยินยอมที่จะกลายเป็นทาสของอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าศีลธรรมอันดีงามของลัทธิขงจื๊อที่ราษฎรญี่ปุ่นทั้งหลายในปัจจุบันนี้ยังคงนับถือเป็นหลักดำเนินชีวิตคือศีลธรรมของขี้ข้าที่สั่งสอนให้ยอมโดนคนอื่นปกครอง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องลวงโลกทั้งนั้นแหละน่า แล้วก็เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นกับตาเลยว่ามนุษย์นั่นแหละคือผู้สร้างโลกนี้ขึ้นมา ทุกคนต่างก็เป็นเจ้าชีวิตของตัวเราเองไม่ใช่ใครอื่นใด

ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันคิดว่าหลังจากที่ขว้างระเบิดนั้นไปแล้ว ชีวิตของฉันบนโลกนี้ก็คงจะจบสิ้นไปในไม่ช้า ส่วนว่าทำไมถึงตั้งใจจะมุ่งเป้าไปที่เจ้าชาย ฉันก็พึ่งบอกคุณไปนี่แหละ เพื่อที่จะประกาศก้องไปยังโลกภายนอกเป็นแค่คำอธิบายสำหรับราษฎรทั้งหลายเท่านั้น เอาเข้าจริงแผนนี้มันก็แค่สิ่งที่ทำให้เกิดความหวังอันเลือนรางของฉันเอง จริง ๆ ก็คือเป็นตัวฉันนั่นแหละเองที่ป่าวประกาศความคิดของฉันไปสู่ทุกคนที่มุ่งเป้าไปยังตัวฉัน พูด ๆ ง่ายก็คงเป็นความคิดที่ยึดตัวเองเป็นหลักก็คือเป้าหมายของแผนนี้นั่นแหละ

เกี่ยวกับความคิดที่ยึดตัวเองเป็นเป้าหมาย แนวคิดแบบนิฮิลิซึมสำหรับฉันที่ฉันได้พูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว เพื่อทำตามแผนการของตัวเองไปจนถึงบทสรุปของมัน เป้าหมายเชิงลบคือการทำลายชีวิตของฉันเอง และเป็นหมายสูงสุดในแง่บวกซึ่งเป็นหัวใจของแผนก็คือการทำลายล้างทั้งหมดบนโลกนี้

นี่เหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องการที่จะลอบสังหารเจ้าชาย

Q: สุขภาพของเธอเป็นอย่างไรบ้าง?

A: สุขภาพของฉันหรือ? ก็ดีอยู่แล้วนะ

Q: เธอได้เริ่มปรับปรุงตัวเองรึยัง

A: ถ้าหมายถึงการกลับตัวกลับใจ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ แน่นอนว่าคุณสามารถพูดได้ว่าความคิด การกระทำและแผนการของฉันนั้นแย่เพราะทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ในขณะเดียวกันฉันเองก็ได้รับประโยชน์จากมัน

แน่นอนว่าการทำอะไรตามใจตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดอะไรอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นเงื่อนไขในการดำรงชีวิตของทุกคน ถ้าหากว่าการทำอะไรตามใจของคนคนนั้นไม่ดี ความผิดก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ สำหรับฉัน สิ่งที่ก่อประโยชน์ก็ดี สิ่งที่เป็นโทษก็ไม่ดี

แต่ฉันไม่ได้ทำตามแผนนี้เพราะฉันคิดว่ามันดี ฉันแค่ทำไปเพราะอยากทำ ต่อให้คนอื่นจะบอกว่ามันเลวยังไงฉันก็ไม่สน หรือหากใครบอกว่ามันดีเลิศเพียงใด ถ้าฉันไม่อยากทำฉันก็จะไม่ทำมัน

ฉันจะทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไปเพราะว่าฉันอยากทำ ฉันไม่รู้อนาคตหรอก ว่าเรื่องพวกนั้นจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่แน่นอนคือตราบใดก็ตามที่ฉันยังคงมีชีวิต ฉันก็จะวิ่งไล่ตามความปรารถนาของฉันจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่ง

บันทึกการสอบปากคำวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1925</strong> <strong>เรือนจำอิจิกายะ

สำหรับกรณีที่จำเลยถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 73 [31] และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมวัตถุระเบิด ได้มีการสอบปากคำแล้วที่เรือนจำอิจิกายะเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1925 โดยผู้พิพากษาทาเตมัตสึ ไคเซย์แห่งศาลอุทธรณ์โตเกียว ซึ่งมีหน้าที่ไต่สวนเบื้องต้นภายใต้พิเศษของศาลฎีกา และเลขานุการโอคุยามะ กุนจิ

Q: เธอชื่ออะไร

A: คาเนโกะ ฟูมิโกะ

Q: อายุหละ

A: ตามปีเกิดฉันอายุ 24 ปี แม้ว่าฉันจะรู้สึกเหมือนตัวเองอายุ 22 มากกว่า แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ว่าฉันจะอายุเท่าไหร่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตประจำวันของฉัน

Q: วรรณะ

A: สมมุติเทพผู้ป็นสามัญชน[32]

Q: เธอทำงานอะไร

A: งานของฉันคือการทำลายสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

Q: ที่อยู่ปัจจุบัน

A: เรือนจำโตเกียว

Q: ที่อยู่อาศัยถาวรหละ

A: จังหวัดยามานาชิ เขตฮิกาชิ-ยามานาชิ หมู่บ้านสุวะ 1236 โซมากุจิ

Q: ที่เกิด

A: เมืองโยโกฮาม่า

Q: เธอมีบรรดาศักดิ์ เครื่องราชฯ ตำแหน่งทางทหาร ประวัติการรับราชการ บำเหน็จบำนาญหรือตำแหน่งอะไรไหม

A: คุณไม่สามารถเอาสิ่งนั้นยัดให้ฉันได้หรอก และต่อให้ทำได้ฉันก็ไม่เอาอยู่ดี

Q: คุณเคยโดนตัดสินลงโทษข้อหาอะไรไหม?

A: ฉันจะได้โดนเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมหละ

Q: เธอได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเขตศาลอย่างเป็นทางการของเธอกับจำเลยคนอื่น ๆ แล้วหรือยัง?

A: อ่านแล้ว

Q: ข้อเท็จจริงที่ถูกบันทึกเอาไว้มีอะไรคลาดเคลื่อนไหม

A: ไม่มี

Q: ในประเด็นดังกล่าว เธอมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับอัยการสูงสุดที่ดำเนินคดีเธอและพักยอลแบบนี้ และต้องการยื่นศาลฎีกาหรือไม่

[ในขณะเดียวกัน ผู้พิพากษาก็ได้อ่านคำร้องขอพิจารณาคดีเบื้องต้น]

A: ไม่มี

Q: แล้วด้วยเจตจำนงที่จะให้ข้าพเจ้าดำเนินการพิจารณาคดีเบื้องต้นตามคำสั่งของศาลสูงสุด?

A: ไม่มีการคัดค้าน

Q: มีข้อผิดพลาดอะไรในสิ่งที่เธอพูดระหว่างการพิจารณาคดีเบื้องต้นในศาลแขวงโตเกียวในข้อหาละเมิดกฎหมายตำรวจรักษาความปลอดภัยและพระราชบัญญัติควบคุมวัตถุระเบิดหรือไม่

A: ไม่มี

[1] เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1910 https://en.wikipedia.org/wiki/Korea_under_Japanese_rule

[2] เป็นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในรัชสมัยไทโชของญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1923 รัฐบาลได้ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการสังหารหมู่ชาวเกาหลีและฝ่ายซ้ายในญี่ปุ่น https://en.wikipedia.org/wiki/1923_Great_Kant%C5%8D_earthquake

[3] The Prison Memoirs of a Japanese Woman https://theanarchistlibrary.org/library/kaneko-fumiko-the-prison-memoirs-of-a-japanese-woman

[4] Nihilism – แนวคิดที่ว่าไม่มีอุดมการณ์การเมือง ศาสนา ศีลธรรม หรือผู้นำคนใดที่น่านับถือ แปลแบบไทยๆก็คงเป็น ‘ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน’ https://en.wikipedia.org/wiki/Nihilism

[5] Individualism – แนวคิดที่เชื่อว่าความต้องการของปัจเจกบุคคลนั้นมีความสำคัญมากกว่ารัฐ https://en.wikipedia.org/wiki/Individualism

[6] Max Stirner ผู้นิยมอนาธิปไตยชาวเยอรมันที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของอนาธิปไตยปัจเจกนิยมและแนวคิดนิฮิลิซึม https://en.wikipedia.org/wiki/Max_Stirner

[7] Helene Bowen Raddeker ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชาวออสเตรเลีย สอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ https://www.outskirts.arts.uwa.edu.au/volumes/volume-14/raddeker

[8] Reflections on the Way to the Gallows: Rebel Women in Prewar Japan ชื่อหนังสือน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากบันทึกความทรงจำในคุกก่อนที่จะถูกประหารของ คันโนะ ชูกาโนะ ผู้นิยมอนาธิปไตยชาวญี่ปุ่น https://theanarchistlibrary.org/library/kanno-sugako-reflections-on-the-way-to-the-gallows

[9] นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น

[10] อาจารย์รัฐศาสตร์ชาวญี่ปุ่น สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบโทโฮกุ https://ja.wikipedia.org/wiki/_(%E6%94%BF%E6%B2%BB%E5%AD%A6%E8%80%85)

[11] Nani Ga Watashi Wo Ko Saseta Ka Gokuchu Shuki https://www.cdjapan.co.jp/product/NEOBK-2178797

[12] Treacherous Women of Imperial https://www.routledge.com/Treacherous-Women-of-Imperial-Japan-Patriarchal-Fictions-Patricidal-Fantasies/BowenRaddeker/p/book/9781138986138

[13] Friedrich Wilhelm Nietzsche นักปรัชญาชาวเยอรมันที่เชื่อว่าศีลธรรมเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เจ้าของวลี “พระเจ้าตายแล้ว” (Gott ist tot)

[14] หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น https://en.wikipedia.org/wiki/Sakai_Toshihiko

[15] Fujiwara no Fusasaki เสนาบดีญี่ปุ่นที่มีชีวิตอยู่ใน ค.ศ. 681 – 25 พฤษภาคม 737 https://en.wikipedia.org/wiki/Fujiwara_no_Fusasaki

[16] พ่อของฟูมิโกะชื่อว่าซาเอกิ ฟุมิคาซึ สืบเชื้อสายมาจากตระกูลซามูไร หลังจากการปฏิรูปเมจิซึ่งทำให้ญี่ปุ่นกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่รวมศูนย์ ชนชั้นซามูไรก็ได้ถูกลดบทบาทลง

[17] เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษใช้คำว่า salvation ทั้งคู่ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94

[18] universal love – ความรักที่ไร้ซึ่งขอบเขต มักเป็นแนวคิดทางศาสนา

[19] เรือนจำสำหรับผู้มีปัญหาทางจิตเวชในญี่ปุ่น https://ja.wikipedia.org/wiki/%E5%85%AB%E7%8E%8B%E5%AD%90%E5%8C%BB%E7%99%82%E5%88%91%E5%8B%99%E6%89%80

[20] เครื่องราชกกุธภัณฑ์ 3 อย่างของจักรพรรดิญี่ปุ่น ประกอบด้วยพระแสงดาบคูซานางิ กระจกยาตะ โนะ คางามิ และอัญมณียาซากานิ โนะ มางาตามะ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามเป็นเครื่องหมายของคุณธรรมหลักสามประการ ได้แก่ ความกล้าหาญ ปัญญา และความเมตตากรุณา ตามตำนานเล่าว่าสิ่งเหล่านี้ถูกนำมายังโลกด้วยฝีมือของเทพเจ้าที่เป็นต้นตระกูลของราชวงศ์ญี่ปุ่น

[21] อ่านเพิมเติมได้ที่บทความ ทำไมเราต้องหมอบคลานต่อกษัตริย์ทารก โดย ใจ อึ๊งภากรณ์ https://turnleftthai.wordpress.com/2019/11/03/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD/

[22] เจ้าชายฮิโรฮิโตะได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคุนิ ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์เอง เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1924 ซึ่งภายหลังราชาภิเษกได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีโคจุง

[23] ชื่อเก่าของกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ระหว่างการปกครองของญี่ปุ่น

[24] คิมซางอ๊กเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของเกาหลี เขาได้ปาระเบิดใส่สถานีตำรวจเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1923 และถูกวิสามัญในอีกไม่กี่วันถัดมา https://en.wikipedia.org/wiki/Kim_Sang-ok_(independence_activist)

[25] คิมจุงฮัน (김중한) เป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชเกาหลีที่คาเนโกะ ฟูมิโกะและพักยอลสังกัดอยู่ https://ko.wikipedia.org/wiki/%EB%B6%88%EB%A0%B9%EC%82%AC

[26] ฮิโรฮิโตะเป็นเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อปี ค.ศ. 1921 -1926 แทนจักรพรรดิไทโชผู้เป็นพ่อ

[27] สิ่งที่คาเนโกะ ฟูมิโกะและพักยอลวางแผนจะทำคือ Propaganda of the deed เป็นการดำเนินการโดยตรงhttps://en.wikipedia.org/wiki/Propaganda_of_the_deed

[28] จักรพรรดิอันโตกุ (ญี่ปุ่น: 安徳天皇; โรมาจิ: Antoku-tenno (22 ธันวาคม ค.ศ. 1178 – 25 เมษายน ค.ศ. 1185) มีพระนามเดิมว่า โทโกฮิโตะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดิเมื่ออายุไม่ถึงสองขวบ ช่วงปลายรัชกาลเกิดสงครามขึ้นและเขาก็เสียชีวิตจากการจมน้ำเมื่ออายุแปดขวบ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B8

[29] ข้อหากบฏต่อชาติในประมวลกฎหมายอาญาของญี่ปุ่น

[30] ล้อแนวคิดเรื่องสมมุติเทพ

[31]  

[32]